เคยไหมคะที่เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกว่าหน้าบาน หน้าใหญ่ หน้าอ้วน ดูไม่สวย ต้องพึ่งแอ๊ปหรือไม่ก็ต้องหลบมุมบิดซ้ายบิดขวาให้หน้าดูเรียวเล็กเป็นวีเชฟ ปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการปรับรูปหน้าที่หลากหลาย ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าที่มีปัญหาแก้มเยอะ หน้าใหญ่ หน้าบาน ผิวหย่อนคล้อยให้กลับมามีรูปหน้าที่สมส่วนและวีเชฟได้ไม่ยาก
โครงสร้างของใบหน้า
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโครงสร้างใบหน้าของคนเรากันก่อน โครงสร้างกระดูกเป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุด ส่วนที่ทำให้หน้าของเราเล็กหรือใหญ่ จะเป็นส่วนที่เรียกว่า Lower face ซึ่งเริ่มจากจุดกึ่งกลางที่ต่ำที่สุดของจมูก มาที่จุดต่ำสุดของคาง ต่อมาจะเป็นมัดกล้ามเนื้อที่อยู่บนใบหน้า จากนั้นจะเป็นชั้นไขมัน ซึ่งจะมีลักษณะการวางตัวของไขมันตามจุดต่างๆ หรือที่เราเรียกว่า Facial Fat Pad จะทำให้ผิวของเราดูเต็มขึ้น และชั้นนอกสุดเป็นชั้นผิวหนัง ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังของคนเราก็จะหย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วงนั่นเอง
สาเหตุของหน้าบาน หน้าใหญ่
สิ่งที่ทำให้หน้าใหญ่ หน้าบานมีอยู่ 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ
- พันธุกรรม เชื้อชาติ
- การใช้งานของกล้ามเนื้อที่มากขึ้น โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหารหรือกล้ามเนื้อแมสซีเตอร์(Masseter muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง อยู่ที่ด้านข้างของกระดูกขากรรไกรล่าง ยิ่งใช้งานมากเท่าไหร่ ออกแรงเคี้ยวนานๆ กล้ามเนื้อก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น จากหน้ารูปตัววี ก็จะกลายเป็นรูปตัวยู
การแก้ไขหน้าบาน หน้าใหญ่
วิธีการปรับรูปหน้า เพื่อแก้ไขหน้าใหญ่ หน้าบานทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ
- หากปัญหาของหน้าบาน หน้าใหญ่ของเรามีสาเหตุมาจากกระดูกขากรรไกรที่มีลักษณะบานออก หากต้องการแก้ไขให้หน้าเล็กลง ต้องใช้วิธีผ่าตัดใหญ่ เพื่อเหลากราม ลบเหลี่ยมของใบหน้า หรืออาจใช้วิธีผ่าตัดหดกระดูก คือตัดกระดูกออกช่วงหนึ่งแล้วเย็บเข้าหากันก็สามารถทำได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีประสบการณ์เท่านั้น
- การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าโบท็อกซ์ ซึ่งจะฉีดเข้าไปที่บริเวณกล้ามเนื้อ วิธีสังเกตง่ายๆคือให้ลูกค้ากัดฟันกรามทั้งสองข้างให้แน่นๆพร้อมๆกัน เมื่อใช้มือคลำดูบริเวณกล้ามเนื้อที่กรามทั้งสองข้าง หากมีก้อนกล้ามเนื้อแข็งๆปูดขึ้นมาชนฝ่ามือ แสดงว่ากล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้ขยายตัวมีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งฤทธิ์ของโบท็อกซ์จะอยู่ที่ประมาณ 4-6 เดือน หรือหากต้องการให้กล้ามเนื้อคงตัวอยู่นานมากขึ้น ก็สามารถทำได้ด้วยการลดการใช้งานกล้ามเนื้อส่วนนี้ นอกจากนั้น ขนาดของกล้ามเนื้อยังเป็นตัวกำหนดปริมาณของการฉีดโบท็อกซ์ในตำแหน่งต่างๆอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ฉีดโบท็อกซ์แล้วจะสวย ต้องพิจารณาดูว่าสภาพและปัญหาผิวหน้าด้วยว่าเหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์หรือไม่? หลายคนอาจมีปัญหาว่าฉีดโบท็อกซ์แล้วแก้มตอบ ก็เนื่องมาจากว่าผิวหนังของลูกค้ามีความหย่อนคล้อยในระดับหนึ่ง และถ้าหากผิวมีปริมาณไขมันอยู่น้อยหรือไม่มีไขมันอยู่เลย เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในปริมาณมาก กล้ามเนื้อจะคลายตัวจนแฟ้บ ส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มตอบตามมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการประเมินผิวหน้าดูว่าควรจะต้องฉีดเพื่อให้ลดลงมากน้อยแค่ไหนจึงจะทำให้หน้าสวยและดูดี
- การฉีด Meso Fat และการดูดไขมันบริเวณคางหรือเหนียง นี่เป็นปัญหาในส่วนของชั้นใขมัน โดยปกติบนใบหน้าของเราจะมีแผ่นไขมันที่วางอยู่ในแต่ละจุดของผิวหน้า (Facial Fat Pad) ซึ่งมีส่วนทำให้ผิวของเราดูเต็มขึ้น ในกลุ่มคนที่อ้วน จะมีชั้นไขมันในปริมาณมาก ในทำนองเดียวกัน คนที่ผอมหรือเมื่ออายุมากขึ้น ชั้นไขมันก็จะแฟ้บลง สำหรับคนที่ต้องการลดปริมาณของไขมันบริเวณนี้เพื่อให้หน้าดูเรียวขึ้น ก็จะต้องเอาไขมันที่อยู่กรอบหน้าและบริเวณขากรรไกรล่างออก ซึ่งจะทำให้มองเห็นกรอบหน้าชัด ทำให้หน้าดูมีสัดส่วนมากขึ้น แต่ถ้าหากมีไขมันพอกบริเวณหน้า คอ คาง เหนียง หน้าก็จะดูอ้วนขึ้น เพราะฉะนั้นการกำจัดไขมันบริเวณแก้มที่เป็นที่นิยมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ก็คือการฉีด Meso Fat เพื่อลดขนาดแก้ม น้ำยาที่อยู่ใน Meso Fat จะเข้าไปทำให้โมเลกุลของไขมันมีขนาดเล็กลง หลังจากนั้นร่างกายของเราจะดูดซึมตัวยาดังกล่าวแล้วเผาผลาญออกมา ส่วนตัวยามีหลายแบบ แล้วแต่จะเลือกใช้ แต่จะมีผลข้างเคียงตามมา เนื่องจากมีน้ำยาของ Meso Fat บางประเภทที่ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว เมื่อฉีดไปแล้ว หน้าอาจจะดูเล็กลงจริงๆ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องผิวหย่อนคล้อยตามมา และอีกหนึ่งปัญหาสำหรับหลายคนคือ เมื่อฉีด Meso Fat ร่างกายอาจไม่ดูดซึมตัวยาที่ฉีดเข้าไป เมื่อโมเลกุลไขมันแตกตัวแล้วก็จะอยู่ที่เดิม หน้าอาจจะเล็กลงแต่ไม่นานหน้าก็จะกลับมาสู่สภาพเดิมอีก สำหรับที่นารดาคลินิก หากเราพบว่าหน้าของลูกค้ามีไขมันพอกบริเวณกรอบหน้า หรือใต้คาง เราจะใช้วิธีการดูดไขมันออก พร้อมกับการทำเลเซอร์ ใช้เทคโนโลยีBodytite กระชับกรอบหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากการดูดไขมันเป็นการผ่าตัดเล็ก ซึ่งจะมีแผลข้างละประมาณ 3-4 จุด โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินผิวหน้าก่อนทำ พร้อมกำหนดจุดที่ต้องการเอาไขมันออก เพื่อให้เห็นกรอบหน้าที่ชัดเจนและสมส่วนมากขึ้น
- เราว่ากันด้วยเรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระดูก กล้ามเนื้อ ชั้นไขมันไปแล้ว มาถึงชั้นนอกสุดของผิวหน้าเรา นั่นก็คือผิวหนัง ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือความหย่อนคล้อยของผิว เมื่ออายุยังน้อย หน้าอาจจะเป็นตัววี แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวก็จะคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง จนกลายเป็นรูปตัวยู ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินผิวหน้าของลูกค้าก่อนว่ามีความหย่อนคล้อยที่ชั้นไหนของผิว เพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะกับอาการและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากที่สุด ส่วนวิธีการรักษาก็มีหลากหลาย เช่น การทำเลเซอร์ การทำ HIFU เทคโลยี RF (Radio Frequency) เทคโนโลยี Bodytite การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว เป็นต้น
การประเมินผิวหย่อนคล้อยด้วยตัวเอง
วิธีประเมินว่าผิวของเรามีลักษณะหย่อนคล้อยหรือไม่ ทำได้ด้วยตัวเองก่อนมาพบแพทย์ คือให้ลองยกจุดด้านหน้า บริเวณหู กรอบหน้าด้านข้าง จะเห็นได้ว่าเวลายกจุดดังกล่าวหน้าจะเปลี่ยน หลายคนมีร่องแก้ม แต่พอยกหน้าร่องแก้มหาย นั่นแสดงให้เห็นว่าหน้าเราเริ่มมีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยแล้ว ซึ่งปกติความหย่อนคล้อยจะเกิดขึ้นช่วงแก้มบนกับแก้มล่าง ในส่วนของแก้มบน เราสามารถลองประเมินด้วยการดึงบริเวณกรอบหน้าข้างหูดู ส่วนแก้มล่างให้ดึงที่กรอบหน้าต่ำลงมาเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถ้าลองดึงแล้ว มีการยกของผิว แสดงว่าผิวของเรากำลังหย่อนคล้อยค่ะ สามารถเข้ามารับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อการรักษาต่อไป
โดยสรุป ปัญหาหน้าบาน หน้าใหญ่สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องมีการประเมินว่ามีสาเหตุมาจากอะไร กระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน หรือชั้นของผิวหนัง ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน และนอกจากหน้าบานหน้าใหญ่แล้ว จะต้องมีการพิจารณาด้วยว่ามีความหย่อนคล้อยร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อการแก้ปัญหาที่ตรงจุด หน้าได้รูปสวยมากยิ่งขึ้น